กรี๊ดมากกับการรีวิวเปิดกล่องสุ่ม เครื่องเขียน ราคา 999
จากร้านไอจี yourstationary.official
มาชมกันค่ะ
และยังไม่หยุด เอวิก็ส่องพวกเครื่องเขียนทุกว๊าน ทุกวัน ก็คนมันชอบเนอะ
|
||||||
สวัสดีค่า ทู๊กโคนนนนนนน (จะยาวไปไหน) อันเนื่องมาจากว่า เอวินั้นจะไปทำ ICL (แก้ไขสายตาสั้น) ที่โรงพยาบาลสมิติเวช ไชน่าทาวน์ ตรงแถว ๆ สมาคมเทียนฟ้า เรื่องทำ ICL เดี๋ยวจะมารีวิวทีหลังนะคะ รีวิวเรื่อง ICL และการทำเลสิค คือสรุปง่าย ๆ ว่าโรงแรม เซี่ยงไฮ้แมนชั่น กรุงเทพ มันอยู่ใกล้โรงพยาบาลมาก เดินในระยะ 3 นาทีถึง และดูจากรีวิว โรงแรมสวยมาก เอานะ เอาโรงแรมนี้แหละ อย่างที่บอกว่ามันไม่ไกลจาก สมิติเวช ไชน่าทาวน์ เท่าไหร่ ก็คือสะดวกสบายมาก ๆ เอาล่ะมาดูโรงแรมกัน มุมมองในฐานะคนทำเลสิคมาใหม่ ๆ 5555555 และขอบคุณรูปภาพบางส่วนจาก พี่ป้อม โรงแรมอยู่ตรงแถวนี้ค่ะ เห็นหูฉลามไหมคะ ติดกับหูฉลามค่ะ ไอ้ที่วงสีฟ้าคือโรงแรม เซี่ยงไฮ้แมนชั่น กรุงเทพ ภายนอกดูธรรมดามาก ตอนแรกก็หาไม่ค่อยเจอหรอกค่ะ เข้ามาข้างใน มองลงมาจากด้านบน มุมถ่ายรูปต่าง ๆ มุมน่ารัก น่าถ่ายรูปต่าง ๆ เยอะมาก
ถ่ายกันไปจ้ะรัว ๆ ช่วงที่ไปคือใกล้สิ้นปี 63 พอดี ก็จะมีต้นคริสมาสต์สวยๆ
ห้องพักอยู่ชั้น 4 ค่ะ อันนี้เตียงเดี่ยว ขอเขาย้ายไปเตียงคู่ เตียงนุ่มดีมาก นอนสบายมาก ให้หมอน 2 ใบ สบายเลย ไฟสีส้ม ๆ ด้านหน้าห้องน้ำ ที่นี่อ่างล้างมืออยู่นอกห้องน้ำ พวกเจลอาบน้ำอะไรก็เป็นของสปาเขา กลิ่นมะพร้าว หอมและดีมากๆ ในห้องที่เอวิพัก เป็นห้องที่อาบน้ำแบบชาวเวอร์นะคะ ไม่มีอ่าง (ห้องอื่นมี ที่ดูจากเว็บจองนะคะ) เช้าวันต่อมา ถอดที่ครอบตาได้แล้วนะคะ เตรียมไปหาหมอ มาทานข้าวเช้ากันค่ะ เอวิเลือกไข่ดาว ก็มาตามนี้ มีข้าวต้มมาด้วย มีครัวซอง ขนมปังให้กินอีก ครัวซองอร่อยมาก นั่งชิวหน้าโรงแรมก็สบายใจ ยังค่ะ ยังไม่จบ เช้าหลังจากทานข้าวเสร็จ เอวิก็ไปหาหมอตามนัด กลับมายังไม่ถึงเวลา check out เหลือบไปเห็นแพคเกจสปา ราคาไม่แพงเลย ไปนวดดีกว่า เดี๋ยวเรื่องนวด จะมารีวิวครั้งหน้านะคะ….โปรดรอติดตามค่ะ รีวิวทำเลสิค
สวัสดีค่ะ วันนี้เอวิจะพาเที่ยว โรงแรม คราวนี้มาในรูปแบบวีดีโอนะคะ เชิญรับชมค่ะ คราวหน้าจะไปที่ไหนอีก อย่าลืมแวะมาชมกันนะคะ
#วันนี้เอวิรีวิวอะไร
#วันนี้เอวิรีวิวอะไร
<<ไปอ่านตอนที่แล้ว Go Japan 2 บ๊ายบายเจแปน สรุปทริป ที่นี่ ตอนนี้เป็นตอนแถม เกี่ยวกับของที่ซื้อมาจากญี่ปุ่น อ่า จัดให้ ไฮ้! ของส่วนใหญ่เน้นไปทางเครื่องสำอาง เครื่องเขียน หนังสือ ชุดชั้นใน อ่าเริ่มจากของที่ไฝ่ฝันจะไปซื้อ น่านก็คือ…. ที่เคยเขียนไว้เรื่อง Tokyo banana ว่า
ต่อไป ซีดีที่ไอ้พู่ฝากซื้อ ขึ้นชาร์ตอันดับ 2 รองจาก Yoshida brother ที่ร้าน Tsutaya แผ่นที่เห็นมีแค่ซิงเกิ้ลไม่กี่เพลง แต่คิดเป็นเงินไทยราว 400 บาท มีของอีกอันเป็นผ้าผืนใหญ่ เพื่อนฝากซื้อ เทียบกับซีดีคือพับไว้ ของจริงห่มกระโจมอกอาบน้ำได้สบาย คุณแม่ซื้อมะเขือเทศลูกเล็ก ๆ มา หวานกรอบ แอบได้ได้เครื่องสำอางมา 1 set ใหญ่ ยาสีฟันใช้ดี๊ดี และอายไลน์เนอร์แบบดินสอของมาจอริก้า สีชมพู Blink ๆ ฉันกับแม่ได้ร่มมาคนละอัน แม่จะเอาไปฝากน้องสะใภ้ ฉันจะเอาไปฝากนังเอ๊ มีคนถามว่า รูปบนสุดที่สองจากขวาคืออะไร แหมยังไม่ถึงซะหน่อย รีบร้อนไปได้ ! (ตาดีจริง ๆ) มันคือการ์ตูนค่ะ ออกแนวเซ็กซี่ว่างั้นเหอะ แต่ไม่โป๊นะ (อย่าเข้าใจผิด) เล่มที่ล่างขวาก็เหมือนกัน เพราะซื้อใน am-pm ทั้งสองเล่มตอนนี้อยู่ที่เพื่อนแล้ว เพราะฉะนั้นอย่าได้ติดต่อมาขอยืมเชียวนะคะ 55555 พูดถึงหนังสือแล้ว เอาหนังสือให้จบเลยดีกว่า เล่มซ้ายสุดเป็นแคตตาล็อก แจกตามที่ต่าง ๆ ให้โทรสั่งเอาเหมือนของเซเว่น ไปครั้งแรกก็หยิบมา เลยติดฝจ เอามาอีก เพราะไอเดียของข้างในนั้นสวยเริ่ดจริง ๆ ค่ะ เล่มกลางเป็นโฆษณาขายบ้าน คอนโด ข้างในมีบ้านสวย ๆ ให้ดูด้วย เล่มขวา Ray แถม dvd แต่งหน้าด้วย มาสคาร่าสีชมพู มี blink ๆ ด้วย set แต่งหน้าของ luvshuca น่ารักมาก ๆ มีตาปากแก้ม ป่านนี้ยังหวงไม่ยอมใช้ซะที อายแชโดว์น่ารัก ๆซื้อจากฮาราจูกุ ชุดจดหมาย ซื้อที่ร้านเครื่องเขียนที่ โอคุโบะ อันนี้ซื้อที่อาตามิ ชุดพับกระดาษแบบญี่ปุ่น แต่เราเอามาเขียนจดหมาย น่ารักดี ลูกชิ้นไส้ไข่กุ้งมายองเนส จากอาตามิ อร่อยสุดๆ เขียนแล้วน้ำลายไหล
ของที่คีบได้ ขนมกรอบ ๆ ต่างๆ ยาย้อมผล palty ไม่เคยใช้มาก่อน เห็นดังนักเลยลองดู ลองแล้วสีแจ่มสะใจสุดๆ เหมือนหน้ากล่องเลย
set ชุดชั้นในที่ซื้อมา 3 ชุด แต่ที่เห็นนั่นเป็นบราค่ะ กล่องข้าว น่าร๊าก ซื้อจากร้าน 100 เยน เมื่อวานก็เห็นที่ daiso ไทย….เออ กล่องนี้ซื้อที่ daiso harajuku ค่ะ
หมดแล้วค่ะ ถ้ามีแบบเก็บตกอีก จะเอามาโชว์นะคะ ปล. พี่เป๋อจะกลับมาเดือน ตค. อีก ฝากซื้อของไปตรึมเลย และแล้วเวลาก็ผ่านไปอีกสองปีค่ะ ได้เวลากลับไปญี่ปุ่นอีกครั้ง
คลิ๊กอ่าน ญี่ปุ่นรอบ 3 ![]()
ในที่สุดก็มาถึงตอนสุดท้ายแล้ว ฮือๆ (แต่ขอโทษย่ะ นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่ชั้นจะไปญี่ปุ่น!) วันที่ 16 มีนาคม 2551 พวกเราตื่นกันแต่ไก่ยังไม่โห่ เพื่อไปขึ้น Limousine bus เที่ยวแรกที่ท่าชินจูกุ เนื่องจากเราจะบินไฟลท์ 9 โมงเช้านะคะ จริง ๆ ไม่อยากกลับหรอกแต่ต้องกลับมาขึ้นเวรในคืนนั้น และอีกไม่กี่วันก็มีสอบด้วย ฮือ….กลับก็กลับ จากญี่ปุ่นรอบแรก ฉันเดินทางด้วยกระเป๋า 1 ใบ กลับ 3 ใบ (โหลด 2 ถือเองอีก 1) มาคราวนี้ advance กว่าเดิม เพราะมา 1 (เอากระเป๋าเปล่ามาด้วยอีก) แต่กลับ 5 เหอๆๆๆๆ บางคนอาจสงสัยว่าเขาให้โหลดได้ 2 ใบไม่ใช่เหรอ ทำไมกลับ 5 คือคราวนี้มายกครัว สมบัติของพ่อกะแม่ก็ไม่ได้เพิ่มอะไรนัก (พ่อกะแม่ 2 คนแพ๊คมาใบเดียว) เพราะฉะนั้น โควต้าคนละ 2 ใบ 3 คน คือ 6 ใบ แต่พ่อกะแม่ มีงอกมาอีก 1 ใบ เพราะฉะนั้น 6-2 ยังเหลือโควต้าอีก 4 ใบ เท่านั้นไม่พอ เพราะกระเป๋าสะพายของเรานั้นใบยักษ์โคตร ใส่ได้แต่สากกระเบือยังเรือรบอีกตะหาก พอก่อนเรื่องกระเป๋า พอพวกเรา check-out จากโรงแรมกันมาแล้ว ก็เรียก taxi ให้ไปที่ท่ารถ ถึงท่ารถประมาณเกือบ ๆ 6โมงเช้า ปรากฏว่า Limousine คันแรกเต็มแล้วจึงต้องรอคันสอง ซึ่งจะออกหกโมงนิด ๆ ค่าโดยสาร 3000 เยน เหมือนเดิม ขากลับ พี่เป๋อไปส่งด้วย โดยพ่อกะแม่นั่งด้วยกัน น้ากะพี่เป๋อนั่งด้วยกัน พี่เป๋อบอกทิ้งให้เอวิมันนั่งกะชายแปลกหน้า สมพรปาก ชายแปลกหน้าหน้าตาดี มานั่งข้าง ๆ ถือพาสปอร์ตญี่ปุ่น ตื่นมาใกล้ถึงนาริตะ มี จนท. ขอตรวจพาสปอร์ต (คนที่ผ่านเข้าแอร์พอร์ต ต้องโชว์พาสปอร์ตหรือบัตรประชาชนอะไรแนว ๆ นั้น) มาถึงราว 7.30 กว่า ๆ เช็คอินเสร็จ ก็ไปหาอะไรกินกันในแอร์พอร์ตนั่นแหละ แล้วก็ได้ ซีดีที่ไอ้พู่ฝากซื้อจนได้ ขึ้นชาร์ตอันดับ 2 รองจาก Yoshida brother ที่ร้าน Tsutaya แผ่นที่เห็นมีแค่ซิงเกิ้ลไม่กี่เพลง แต่คิดเป็นเงินไทยราว 400 บาท ช๊อปกันนิดหน่อย ก็ได้เวลาเข้าเกทแล้ว ร่ำลากันเรียบร้อย เอาล่ะค่ะจะได้กลับซะทีน้อ… ลืมเล่าถึงตอนเช็คอิน 4 คน ได้น้ำหนักรวมกันไม่เกิน 80 กิโล แหะ ๆ ทีมเราปาไป 79.8 แหะ ๆ เต็มอัตราศึก (ไม่รวมที่ถือเองขึ้นเครื่องอีกนะ พวกขนมกรอบ ๆ แตกง่ายอะไรเงี๊ยเราถือเอง) เมื่อพวกเรามาถึงเกทก็ขึ้นเครื่องได้เลย เพราะถึงเวลาแล้ว เดินทางกัน 6 ชั่วโมง ก็มาถึงสุวรรณภูมิ กัปตันรอย บินได้นิ่มสมชื่อการบินไทย ผ่าน ตม. มาก็กลับบ้าน กลับถึงบ้านไม่รอช้า ภาพที่ทุกท่านรอคอยก็มาถึง ถึงปุ๊บ ถ่ายรูปของทุกอย่างปั๊บ เป็นอันสรุปว่า ปิดทริปแล้วจริงๆ ของส่วนใหญ่เน้นไปทางเครื่องสำอาง เครื่องเขียน หนังสือ ชุดชั้นใน มีของอีกอันเป็นผ้าผืนใหญ่ ที่เพื่อนฝากซื้อ เทียบกับซีดีคือพับไว้ ของจริงห่มกระโจมอกอาบน้ำได้สบาย มาดู comment ที่ฉันให้กับทริปนี้ค่ะ 2. กล้องถ่ายรูป เป็นกล้องใหม่ ไม่เคยใช้ และไม่รู้ว่าอัดวีดีโอได้แต่ไม่มีเสียง อัดมาอย่างดีเสียดายจริง ๆ แต่การเตรียมกล้องนั้นจัดว่าดี ตรงที่เตรียมแบตเตอรี่ไว้เพียงพอและ SD card 2 แผ่น ซึ่งกลับมายังเหลือ (ทริปนี้ถ่ายไปประมาณ 300 ภาพค่ะ) 3. การซื้อของฝาก มีการจัดเป็นระบบ เช็คของที่ซื้อของที่ขาดทุกวัน ทำให้ได้ของครบ (เท่าที่หาได้) และจากประสบการณ์ทำให้รู้แหล่ง ว่าอะไรมีขายที่ไหน 4. การเตรียมอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ มีการทำรายการชัดเจน มีการเผื่อของ (แม้จะต้องหอบเยอะ) ของไม่ได้ใช้แทบไม่มี จะมีก็กระติกเก็บความร้อน-เย็น ที่เอาไปแล้วไม่ได้ใช้เลย กระเป๋าสตางค์มีช่องเพียงพอ ใส่พาสปอร์ตได้ มีช่องแยกเก็บ เงินไทย เงินญี่ปุ่นไม่ปนกัน มีการเอากระเป๋าเหรียญไปต่างหาก มีการจดบันทึกรายรับจ่ายรายวัน 5. ไปเที่ยว อย่า งก เราน่ะติดนิสัย ไม่ค่อยอยากซื้ออะไร บางอย่างอยากได้มาตั้งแต่เที่ยวที่แล้ว มาเที่ยวนี้ก็ไม่เอาอีกเพราะมันแพง สุดท้ายก็ไม่ได้ เราเองไม่ได้เก่งกาจเรื่องเที่ยวเท่าไหร่หรอกค่ะ เขียนจากสิ่งที่ไปพบไปเห็นมา แต่ถ้าใครอยากคุยอยากแลกเปลี่ยนก็ยินดีนะคะ โดย ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้ายจริง ๆ แล้วนะคะ Go Japan 2 ตอนแถม : ของที่ซื้อมาทั้งหมด (เร็ว ๆ นี้)
หลังจากตระเวนทัวร์ ชมนั่นชมนี่ ก็นั่งรถไฟมาถึงสถานี ชินจูกุจนได้ ถึงที่ชินจูกุก็ราว 3 ทุ่มจะครึ่งแล้วล่ะ แต่ว่าหาทางออกไม่เจอนี่สิ เราต้องไปออก B4 แต่เดินมาทาง west exit ตามที่พี่เป๋อบอกแล้ว ก็หา B4 ไม่เจอ ถามคนเดินผ่านไปมา ก็วิ่งหนีไปซะงั้น หนุ่มร้านค้าก็แสนใจดี แทบจะปิดร้านมาส่งเลยทีเดียว วาดแผนที่ให้อีกตะหาก โห ขอบคุณมาก ๆ (ร้านเขาขายเบเกอรี่ที่สถานีรถไฟ หลังเดินมาตามทาง west exit จะขึ้นกระได ทางเดินไปเพื่อออก B4 ค่ะ) ออกมา อิเซตันปิดแล้ว ต้องเดินขึ้นกระไดธรรมดาออกมาข้างนอก เลี้ยวผิดแยกอีก หลงไปไกลมาก (เกือบโลมั๊ง) แวะถามตำรวจ ต้องเดินกลับมาอิเซตันเหมือนเดิม เช้าวันนี้ เรามีนัดกันกับแม่พี่ชิฮารุตอนบ่ายโมงค่ะ ช่วงเช้าฉันเลยขอตัวไปเก็บตกซื้อของฝากที่ฮาราจูกุ น้าไฝตอนแรกก็ทำท่าจะไปด้วย แต่ฝนตกปรอย ๆ เลยขอนอนพักดีกว่า เนื่องจากประสบการณ์หลงเมื่อคืน ทำให้คราวนี้เดินทางไปฮาราจูกุไม่ยากเลย 55 จริง ๆ จากชินจูกุ มาฮาราจูกุมันไม่ยากหรอก ขึ้นรถไฟมา 2-3 ป้ายเอง ถึงแม้ที่สถานีชินจูกุจะมีรถไฟหลายสาย เราก็มองป้าย JR เอา ไม่นานก็มาถึงสถานีฮาราจูกุ หาทางออก Takeshita exit เพื่อไปยัง Takeshita street อ่ะถึงแล้ว… ดูป้ายกันชัดๆ ช้อปๆๆๆ ซื้อนั่นซื้อนี่ ร้านสีเหลืองทางซ้ายนั่นเราเดินอยู่นานมาก มันคือร้าน Mutsumoto Kiyoshi ขายของพวกเครื่องสำอาง มี 2 ชั้น มีขายทุกยี่ห้อเลย โปรโมชั่นเพียบ จัดของได้ล้นหลามน่าซื้อมาก จริง ๆ จากปากซอยก่อนถึงร้านนี้คือ Daiso ก็เหมือนร้าน 60 บาทที่ไทย แต่เป็นสาขาญี่ปุ่น (จริง ๆ ญี่ปุ่นไปเปิดสาขาที่ไทย แต่ละร้านที่นี่ก็แต่ง display ได้สวยงามจริงค่ะ เดินฮาราจูกุอยู่นาน หาซีดีนักร้องญี่ปุ่นให้เพื่อน หาเท่าไหร่ก็หาไม่ได้ เลยถอดใจ เสร็จจากฮาราจูกุ ก็นั่งรถไฟไปโอคุโบะ นัดพี่เป๋อไว้หน้าร้าน ดองกิ โอ๊ย กว่าจะถึงดองกิ เอวิก็คีบตุ๊กตาได้มา 7-8 ตัว (แหม เรามันเซียนอยุ่แล้วโฮะๆ กินกันราว 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ร่ำลากัน ฝนตกปรอย ๆ อีกแล้ว พ่อกับแม่ขอกลับไปนอนก่อน ที่เหลือก็ไปเดินเมืองชินจูกุทิ้งทวนเพราะจะกลับพรุ่งนี้แล้ว เดินจากโอคุโบะไปก็ไม่ไกลค่ะ (ถ้าคิดว่ามันไม่ไกล ไม่นานก็ถึงแดนสวรรค์ของฉันนั่นก็คือ คาบูกิโช มีตุ๊กตาให้คีบเยอะมาก อิอิ คีบคราวนี้กลับได้แต่พวงกุญแจเล็กๆ แล้วเราก็มุ่งหน้าไป Tokyu hands กันต่อ ที่ชินจูกุนี้มีถึง 8 ชั้น แต่คนต่อคิวจ่ายตังแต่ละชั้น แต่ละแผนกเยอะมาก จนไม่กล้าซื้อ โอยเหนื่อย…. ไม่ได้อะไรเลยที่ tokyu hands แต่ก่อนกลับก็เจอศิลปินริมทาง ให้แช่มชื่นหัวใจ อิอิ ![]() เดินขาลาก แวะกินบะหมีหยอดเหรียญ แถว ๆ อิเซตันนั่นแหละ ![]() ชามละประมาณ 700 เยน ตัวสูบอย่างฉันยังกินไม่ไหมดเลย อาหย่อย… กลับมาสลบที่ห้องก็ราว 1 ทุ่มแหละค่ะ พรุ่งนี้จะกลับแล้ว….โปรดติดตามตอนจบในตอนหน้านะคะ <<ไปอ่านตอนที่แล้ว ตอน 9 ปราสาทที่ Odawara อำลา Atami ที่นี่ กลับจาก Atami เมื่อวาน ด้วยตาประหนึ่งหมีแพนด้า ถึงโรงแรมที่โตเกียวก็เย็น ๆ ค่ะ คุณพ่อคุณแม่อยากจะพักผ่อน ไอ้ฉันแม้ตาจะเป็นหมี แต่ดีกรีขาช้อปก็บ่ยั่น กวาด 100 yen shop ทั่วย่านบริเวณให้ได้เสียตังค์กันสนุกไปเลย พูดถึงโรงแรม ฉันจองผ่านเอเย่นต์ที่ไทย จองมันรวดเดียวเลย เว้นเฉพาะวันที่ไป Atami แค่ 1 คืน ฉะนั้น ตอนที่ไป Atami ฉันสามารถฝากของไว้ได้ คือทางโรงแรมเขาให้กอง ๆ ไว้ เอาตาข่ายคลุม เอาเฉพาะของที่มีค่าและจำเป็นไปด้วย ตรงด้านหลังโรงแรม มันไปโผล่ถนน yasukuni ได้ แถวนั้นมีร้าน Jonathan’s ขายอาหารทั่วไปแนว back canyon ด้วยค่ะ คือมีหลายแบบ ไม่ญี่ปุ่นซะทีเดียว พวกเราเลยไปกินอาหารค่ำกันที่ร้านนี้ หลังจากอิ่มกันก็กลับไปนอนเอาแรง เตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้… พี่เป๋อว่าจะพาไป sugamo … ตื่นเช้าขึ้นมาปรากฏว่าฝนตก ทำให้ไม่ไป sugamo กันแล้ว ไปบ้านตาเป๋อดีกว่า เยี่ยมหลานด้วย ใครอยากกินอะไรก็ซื้อไปกินกัน แถมจะได้แวะร้าน donki ด้วย ซื้อของฝากได้ครบ วันนี้เราออกจากโรงแรมกันสายหน่อย หลังซื้อของที่ดองกิเสร็จ ฝนหยุดพอดี เราพากันเดินอีกไม่ไกลไปโอคุโบะบ้านพี่เป๋อกันค่ะ เลยเก็บวิวระหว่างทางมาฝาก
บ้านเรือนน่ารักดีนะคะ
พี่เป๋อบอกว่าที่ญี่ปุ่นที่ดินแพง ฉะนั้นราคาบ้านไท่ว่าจะเป็นบ้านเช่าหรือซื้อก็จะมีราคาแพง บ้านที่เห็นอยู่ข้างบนกะข้างล่างคนละคนเช่าอยู่นะคะ จะเห็นว่ามีทางขึ้นเป็นของตนเอง ถึงแม้ว่าจะใช้หลังคาอันเดียวกันก็ตาม พื้นที่เล็ก ๆ ก็ปลูกต้นไม้สวยงาม
เดินมาไม่นานก็ถึงบ้านพี่เป๋อค่ะ ก็เยี่ยมหลานกันไป จริง ๆ แล้วหลานไม่ได้นอนที่นอนหรอกนะคะ น้องนอนใต้ชั้นวางของ โดยเอาผ้าปูปูให้นุ่ม ๆ ส่วนตะแกรงของชั้นวางของ พ่อแม่ของน้องก็เอาตุ๊กตามาห้อย ช่าง created กันจริงๆ
ส่วนนี่เป็นผู้พิทักษ์น้องวายุ อายุ 10 กว่าขวบแล้ว เรียบร้อยไม่กวนใจน้องเลย ส่วนไอ้หมูแคททาลิน ถูกเนรเทศไปอยู่บ้านแม่พี่ชิฮารุซะแล้ว เลยไม่ได้เจอเลย กินอาหารกลางวันที่ทำโดยพี่เป๋อ ประกอบด้วย ปลาดิบ กุ้งทอด ผัดสะตอ(ที่เอามาจากเมืองไทย) หน่อไม้ลวก พี่เป๋อบอกว่าเพื่งออกเป็นช่วงแรกของปี หวานอร่อยมากค่ะ นอกจากนี้ยังมีอื่น ๆ อีกมาก จาระไนไม่หมด ทั้งหมดนี้ไม่มีรูปให้ดูเพราะหมดภายในเวลาอันรวดเร็ว 5555 วันนี้ฉันนัดโทโมโกะไว้ค่ะ นัดไว้เวลา 18.00 น. ที่สถานี uguisudani ฉันจะไปด้วยรถไฟสาย yamanote นะคะ ก่อนไป แวะเล่นคีบตุ๊กตาก่อน ได้มา 3 ตัว เหอๆๆๆๆ กฉันไปถึงที่หมายตามนัด แต่ว่าฝนตกหนัก เลยต้องนั่ง taxi ไปร้านทั้งที่ไม่ไกลจากสถานีเท่าไหร่
กับแกล้มแรก ปลาหมึกเค็ม confirm ว่าเค็มมาก เขียว ๆ คือ แปะก๊วยต้มจิ้มเกลือ กินกันเป็นเม็ด ๆ เลย โซรามาเมะ … มันเหมือนถั่วอ่ะค่ะ รสชาติมัน ๆ แต่เวลากินต้องปอกก่อน คีบข้างในออกมารับประทาน มัน ๆ อร่อยดี เอาล่ะการแสดงเริ่มแล้ว..
<<ไปอ่านตอนที่แล้ว Go Japan 2 Atami onsen อาหารค่ำชุดใหญ่ ที่นี่ ฮือม…ม…เมื่อคืนนอนหลับฝันดีที่ Atami …อิอิ… ตื่นมาราว ๆ 7 โมงเช้า วันนี้ข้างนอกอากาศหนาวกว่าเมื่อวาน ทำให้ที่คิดว่าจะไปเดินชายทะเลก็คงไปไม่ไหว สงสารพ่อกับแม่ด้วย (จะไปคนเดียวเดี๋ยวจะติดลมอีก trip ที่วางไว้คงพัง) เลยดูทีวี นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ ทำแผลที่ล้มวันก่อนให้พ่อด้วย วันนี้คุณน้า มาด้วยชุดนี้ค่ะ (ชุดเดิมแหละ แต่ทับผ้ามา) แม่บ้านคนเดิมมาจัดอาหารให้ตอน 8 โมงเช้า อลังการน่าทานทั้งนั้นนอกจากมีข้าวสวยให้แล้ว ยังมีปลาย่างซีอิ้ว เต้าหู้นิ่ม ๆ ปลาดิบ+วาซาบิแบบขาว ๆ เครื่องเคียง ไข่ลวก มีซุป นอกจากชุดอาหารก็มีชาให้ด้วย เป็นชาเขียว อาหารมื้อเช้า เห็นนิด ๆ หน่อย ๆ ก็อิ่มเหมือนกันนะคะ เขาให้ข้าวมาก็เต็มโถ มีนัตโตะด้วย พวกเราก็กินกันไม่เป็น (ฉันเข็ดแล้วคราวที่แล้วกัดซูชิที่สอดไส้นัตโตะไปเต็มรัก) มีแต่พี่เป๋อที่อยู่ญี่ปุ่นมาราว 15 ปี ที่เอร็ดอร่อยอยู่คนเดียว แต่อย่างอื่นฉันก็ทานได้หมดน่ะแหละ กินได้แป๊บเดียวก็ซ้อนจานซะแล้ว แล้วเราก็นั่งพักกัน ก่อนที่จะออกจากอาตามิตามแผนที่วางไว้คือราว 10 โมง ที่นั่งแสนสบาย คุณแม่นั่งชมวิวริมหน้าต่าง และเมื่ออิ่มแล้ว ป้าคนเดิมก็มาเก็บของ คราวนี้ถ่ายทันแล้ว จากนั้นเราก็เก็บของ เตรียมบ๊ายบาย อาตามิกันแล้วค่ะ เราใช้เวลาประมาณ 15 นาที เดินจากโรงแรมมาสถานีรถไฟอาตามิ แวะซื้อของที่เดิน แม่กับน้าช๊อปกันกระจายอีกเช่นเคย ตรงสถานีมีส้มขายด้วย รสไม่หวานเหมือนส้มไทย 10 ลูกประมาณ 80 บาท ระหว่างทางพบพระญี่ปุ่นยืนอยู่ด้วย และมีซุ้มต่าง ๆ ของอาตามิ โชว์อยู่ แต่งได้สวยงามมาก มีอยู่หลายจุด มีแผนที่ด้วย Atami มีชื่อเสียงด้านน้ำแร่ ที่คนนิยมมาออนเซ็นกันนะคะ แต่บอกตามตรง ถ้าไม่มีพี่อยู่ที่ญี่ปุ่น คงไม่ได้มาถึงนี่ เพราะหนังสือท่องเที่ยวที่เป็นภาษาไทยกล่าวไว้น้อย จำได้ว่าเคยได้ยินชื่ออาตามิ จากการ์ตูนเล่มนึงเมื่อสมัยยังวัยรุ่นเท่านั้นเอง มีบ่อให้แช่สำหรับคนผ่านไปมาให้ลองแช่ขากัน (นึกถึงเชียงใหม่เลยแฮะ) มีป้ายบรรยายทุกจุด เมืองไทยก็น่าจะมีเยอะ ๆ แบบนี้บ้าง ซูมชัด ๆ อ่านได้ก็อ่านกันนะคะ (บอกคำแปลมาด้วยจะขอบคุณมากค่ะ) อีกมุมนึงของรถไฟ จริง ๆ การเดินทางมา Atami ก็ไม่ยากนะคะ มีรถไฟ JR ผ่านด้วย จาก Tokyo ต่อเดียวก็มาได้ โดยขึ้น ชินคันเซ็น มานะคะ
จากนั้นเราก็ขึ้นรถไฟกลับมายัง Odawara กันนะคะ เราจะไปเยี่ยมชมปราสาท Odawara กันค่ะ ก่อนจะไปถึงตัวปราสาท ก็เอาสัมภาระ ยัดเข้าไปในตู้ฝากของ พวกเรามีหลายคนก็ยัดไปตู้กลาง ๆ เสียไป 300 เยน ที่สถานีรถไฟ Odawara มีดอกไม้สวยงามเช่นเคย มองเห็นปราสาทอยู่ไม่ไกล โน่นแน่ะค่ะ วันนี้อากาศดี เราจะเดินไปกัน ระยะทางประมาณ 1 กิโลมั๊งคะ บ้านเมืองย่าน Odawara ยังคงมีดอกไม้สวยอยู่ตลอด ดอกอะไรสักอย่าง ขอสักแชะ ตามถนนหนทางจัดไว้สวยมาก ถ่ายรูปแป๊บเดียว สมาชิกไปมุงอะไรกันน่ะ จริง ๆ แล้วไปกินชูครีมกันค่ะ แหะ ๆ ลูกใหญ่มาก ครีมเต็มไปหมด ลุกละ 80 เยน ราว ๆ นั้น ไม่มีภาพให้ดูเพราะมัวแต่กิน พอกินเสร็จก็ถ่ายภาพดอกไม้ตามทางอีกตามเคย
บ้านเมือง แผนที่เมือง Odawara ซูมใกล้ ๆ ใกล้ถึงแล้ว เข้าเขตปราสาทแล้วค่ะ แต่ว่า ยังไม่ถึงตัวปราสาท แผนที่อีก นี่ไง… ด้านหน้าปราสาทก็จะมีบริเวณให้นั่งพัก หรือจะเข้าไปชมปราสาท หรือจะแต่งชุดโบราณก็ได้ 2 อันหลังต้องเสียตังค์ทั้งสิ้น แต่เราไม่ค่อยนิยม (ก็คืองกนั่นเอง)
ถ่ายรูปคู่ปราสาทดีกว่าเนอะ เดินไปอีกหน่อย มีช้างด้วยนะคะ เป็นช้างอินเดีย แต่หน้าตาเศร้าสร้อยเหลือเกิน อายุ 60 กว่าขวบ คงคิดถึงบ้าน.. พี่ช้างชื่อ Umeko มีลิงตรูดแดงด้วยแฮะ บริเวณทั่วไป ถ่ายรูปหน้าประตูทางเข้าปราสาท (ไอ้ทางที่เข้ามาเป็นด้านหลัง มีคำบรรยายพร้อม ตรงนี้ล่ะ อ่ะบรรยาย ตามนี้นะคะ ขอถ่ายอีก 2 – 3 รูปนะ อย่าเพิ่งเบื่อนางแบบ ภาพนี้ถ่ายจากด้านนอกปราสาทค่ะ จะเดินกลับสถานี Odawara กันแล้ว ระหว่างเดินกลับ ชมวิวกันนะคะ มีบ่อน้ำด้วย เป็นบ่อบัวนี่เอง เรานี่โชคดี มาตอนที่บัวไม่ออกอีกแล้ว แผนที่อีกแล้ว มีแผนที่ดอกไม้ด้วยนะ แมว Odawara ช่างอ้วนจ้ำม่ำจังเลย พอเดินเข้าไปหา ก็เดินหนีไป หยิ่งจริง ๆ เดินอีก 800 เมตร ก็จะมาถึงสถานีรถไฟ แต่เวลาก็บ่าย 2 แล้ว แวะกินกาแฟกันนิดหน่อย ร้านนี้ชื่อ Italian Tomato (ซึ่งมีสาขาทั่วไปคล้าย เดลี่เฮ้าส์บ้านเรา มีกาแฟเป็นตัวขาย แต่ก็มีพวกเค้กด้วย) ชาร้อน เวลาสั่งเขาไม่ใส่น้ำตาลเลย คนญี่ปุ่นกินไม่หวานนะคะ มีน้อยคนจะเติมน้ำตาล ฉันสั่งชาเขียวมากิน น่ากินมาก แต่จืดสนิท แต่เค้กนี่รสชาติสุดยอด เต็มที่ไปเลย พวกเรานั่งรถไฟโอดาคิวกลับชินจูกุกันค่ะ ฉันหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้ พี่เป๋อบอกตาเป็นหมีแพนด้าซะงั้น โอว…ว… ตอนต่อไป Go Japan 2 เยี่ยมหลาน ไปผับที่ Uguisudani หนุ่มวงดัง Yoshida brother พบ Tomoko คลิกที่นี่
|
||||||
Copyright © 2021 TheHoneynut - All Rights Reserved Powered by WordPress & Atahualpa |
Recent Comments